สัปดาห์นี้เอ่ยถึง “มะเร็ง” ที่น่ากลัวที่สุดและรักษายากที่สุดอย่าง “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” ที่มักเกิดกับคนจิตตกและเครียดมากๆ เพราะอะไรไปดูกัน
อังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เวลา 08.30 น.
ร่างกายคนเรามีกระบวนการจัดการ “เซลล์ร้าย” ที่มักก่อตัวเป็น “มะเร็ง” อย่างสมดุลอยู่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดอ่อนแอไม่สามารถทำลาย “เซลล์มะเร็ง” ได้ เนื่องจากเกิดการติดเชื้อ เครียดวิตกกังวล หรือได้รับสารเคมี เมื่อนั้น “มะเร็ง” ก็จะย่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา!!
โดยเฉพาะมะเร็งที่ “ร้ายกาจที่สุด” และ “รักษายากที่สุด” อย่าง “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” หรือ “ลิวคีเมีย”
ศ.นพ.สุรพล อิศรไกรศีล ผอ.อาวุโส ศูนย์โลหิตวิทยากรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้ว่า อุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สาเหตุการเกิดอย่างที่ทราบและพูดถึงกันมาก คือ การได้รับ “สารกัมมันตภาพรังสี” ที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ภายหลังจากการได้รับระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นพบผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ยืนยันได้ชัดเจน
ส่วนสาเหตุอื่นๆ อย่าง “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” จากเสาไฟฟ้าแรงสูง และการใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ แต่การศึกษาไม่ได้ระบุว่าทุกคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ แล้วจะเป็นมะเร็ง แต่ถ้าเปรียบเทียบผู้ป่วยกับคนปกติแล้วพบว่าผู้ป่วยจะใช้โทรศัพทพ์มือถือมากกว่า ฉะนั้นไม่ใช่ว่าใช้โทรศัพท์มือถือมากๆ 100 คนแล้วจะเป็น “โรคลิวคีเมีย” หมดทั้ง 100 คน ซึ่งสาเหตุนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นมากกว่าคนปกติเท่านั้น!!
“โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว” หรือ “ลิวคีเมีย” มี 2 ชนิด คือชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ทั้ง 2 ชนิดมีการดำเนินโรคที่แตกต่างกัน สำหรับ ชนิดเฉียบพลัน นั้นจะเกิดขึ้นเร็วเป็นวัน เป็นสัปดาห์ โดยเกิดขึ้นใน “ไขกระดูก” เซลล์ลิวคีเมียจะขัดขวางการสร้างเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้การสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ในไขกระดูกลดลง ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย ติดเชื้อ มีไข้ มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
ส่วน ชนิดเรื้อรัง เซลล์ลิวคีเมียเกิดในไขกระดูก เซลล์เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ได้ เซลล์เหล่านี้จะออกมาในเลือด และไปอยู่ที่ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ชนิดเรื้อรังมีอาการไม่มาก ทั้ง 2 ชนิดนี้จึงมีความแตกต่างกัน และปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ ชนิดเฉียบพลัน ที่ถือเป็นมะเร็งที่รุนแรงที่สุด และรักษายากที่สุดด้วย
ดังนั้นอาการที่จะสังเกตทันท่วงที คือ มีเลือดออกผิดปกติ โลหิตจาง มีไข้ ต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยแพทย์สามารถแยก “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” ทั้ง 2 ชนิดนี้ได้ด้วยการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ดูว่ามีเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดเป็นอย่างไร การวินิจฉัยโรคที่แน่นอนทำได้ด้วยการเจาะไขกระดูก สามารถตรวจว่าเป็น ชนิดเฉียบพลัน ชนิดใด
สำหรับวิธีการรักษา คือการให้ยาเคมีบำบัดและการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งการรักษามะเร็งแต่ละชนิดของคนไข้แตกต่างกันออกไป เริ่มต้นต้องรักษาด้วยยาเคมีบำบัดจนโรคสงบ คือไม่พบเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดและในไขกระดูกพบเซลล์มะเร็งน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการสร้างเม็ดเลือด ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดปกติ
สำหรับเทคโนโลยีการรักษาด้วย “การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์” มีความก้าวหน้าไปมาก จากเดิมที่ต้องใช้ไขกระดูกของพี่น้องที่มี “เอ็ชแอลเอ” (HLA) เข้ากันได้เท่านั้น ปัจจุบันสามารถใช้ของพี่น้องที่มี “เอ็ชแอลเอ” เหมือนกันครึ่งหนึ่ง หรือพ่อแม่ให้ลูก และลูกให้พ่อแม่ซึ่งสามารถทำได้และมีโอกาสหายขาดเช่นเดียวกันจึงประสบความสำเร็จเช่นกัน
นอกจากนี้คนที่ไม่มีพี่น้อง สามารถหาผู้ให้จาก สภากาชาดไทย ซึ่งมีการลงทะเบียนของผู้ที่ประสงค์จะบริจาคสเต็มเซลล์ อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกว่า “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” นี้เป็นมะเร็งชนิดรุนแรง รักษาให้หายยาก ต้องทุ่มเทวิธีการรักษาอย่างเต็มที่ ผู้ป่วยต้องมีแรงบันดาลใจและกำลังใจที่ดี เพราะถ้าเมื่อใดที่เม็ดเลือดต่ำ หากดูแลตัวเองไม่ดีโอกาสติดเชื้อจะง่าย!!
หลังจากที่รักษาจนโรคสงบแล้ว ก็มาถึง “วิธีป้องกันไม่ให้โรคเป็นกลับมาใหม่” โดยการติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรการเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด มีความจำเป็นไม่เช่นนั้นอาจติดเชื้อได้ง่าย รวมถึงรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะช่วยในการสร้างเม็ดเลือด และเลิกมีความเชื่อผิดๆ ว่า...ทานโปรตีนเข้าไปจะเป็นอาหารของมะเร็ง เพราะไม่จริง เนื่องจากร่างกายเรามีอวัยวะต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ถ้าขาดโปรตีนไปการฟื้นตัวจะยาก ฉะนั้นอย่างดโปรตีนเด็ดขาด
สาเหตุที่ส่งเสริมให้เกิดมะเร็งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ “ความเครียด” เพราะร่างกายเรามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่มีภูมิป้องกัน ยับยั้งได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่เราเครียด วิตก จิตตก เซลล์ภูมิคุ้มกันที่จะไปทำลายเซลล์มะเร็งก็ลดลง ทำให้มะเร็งกำเริบได้ ฉะนั้นถ้าไม่เครียด จิตไม่ตก มะเร็งก็ไม่มีทางทำอะไรเราได้
สุดท้ายอยากให้ทุกคนคิดบวกถึงแม้ว่าคนที่ป่วยเป็น “มะเร็ง” จะถือว่าโชคร้าย แต่ในความโชคร้ายควรหาความโชคดีจากการเป็นมะเร็งให้ได้ด้วย หากเราสามารถหาประโยชน์ได้จากการเป็นโรคร้ายนี้ นอกจากจะสามารถรักษาโรคจนอาการดีขึ้นแล้ว ชีวิตใหม่ของผู้ป่วยอาจเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งเลยก็ได้ ขอให้มีความเครียดน้อยลง คิดบวกมากขึ้น
เพราะคงไม่มีใครอยากให้ “มะเร็ง” กลับมาอีกแน่นอน!!
…..............................................
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “ชญานิษฐ คงเดชศักดา” ...